วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

Matter Box




Matter Box เป็นกลยุทธ์สื่อสารการตลาดรูปแบบใหม่ ที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก และมีการพูดถึงกันมากที่สุดในขณะนี้ Matter Box เป็นการโฆษณาและการนำเสนอสินค้าผ่านทางไปรษณีย์ โดยจะจัดส่งตรงถึงหน้าบ้านฟรี ความสำเร็จของ Matter Box วัดได้จากแค่เพียง 2 อาทิตย์หลังจากที่ทาง Website ของ Royal Mail ได้เปิดตัว Matter Box มีผู้สนใจลงทะเบียนขอรับ Matter Box กว่า 60,000 คนเลยทีเดียว ด้วยกระแสความนิยม และการบอกเล่าปากต่อปาก ทำให้ Matter Box ได้ถูกเขียนลง Web Blog , Website และอีกมากมายที่ถูก Upload ลงใน Youtube

Matter Box เป็นกล่องพัสดุที่ออกถูกออกแบบอย่างสวยงาม ภายในกล่องจะประกอบไปด้วยตัวอย่างสินค้าที่น่าสนใจ โดยบางอย่างมาในรูปแบบสินค้าขนาดทดลอง ของเล่น ของที่ระลึก และคำอธิบายสินค้าภายในกล่อง Matter Box เป็นความร่วมมือระหว่างบริษัทต่างๆ ที่ต้องการจะโฆษณาผลิตภัณฑ์ของตนเอง โดยจะให้ทาง Royal Mail หรือไปรษณีย์ของประเทศอังกฤษ เป็นผู้ส่งกล่อง Matter Box โดยทางบริษัทจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการจัดส่ง Matter Box ให้แก่ผู้ที่สนใจ และบริษัท Artomatic เป็นผู้ออกแบบกล่อง จัดพิมพ์กล่อง และรูปแบบโฆษณาบนตัวกล่อง


Matter Box นี้ถือเป็นทางเลือกใหม่ที่จะทำให้บริษัทสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น โดยทุกคนสามารถรับ Matter Box ได้ โดยลงทะเบียนผ่าน Website โดยไม่มีค่าใช้จ่ายและข้อผูกพันใดๆ อีกทั้งยังสามารถยกเลิกการรับ Matter Box ได้ถ้าไม่พอใจอีกด้วย และได้มีการวางรูปแบบสำหรับในอนาคตไว้ด้วย โดยในอนาคตลูกค้าแต่ละคนจะได้รับตัวอย่างสินค้าภายในกล่องไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับความสนใจของลูกค้าแต่ละคน ที่ได้ระบุไว้ในตอนที่ลงทะเบียนขอรับ Matter Box และบริษัทที่อยู่ในโครงการนี้สามารถระบุได้ว่าต้องการกลุ่มลูกค้ากลุ่มไหนในการแจกตัวอย่างสินค้าอีกด้วย


Source: Positioning Magazine ฉบับเดือน เม.ย. 52 โดย สุภานันต์ จึงนิจนิรันดร์

servertoday

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

10 กลยุทธ์การตลาดแบบงบจำกัด


ในยุคเศรษฐกิจหดตัว รายจ่ายต่างๆในการทำการตลาดก็ดูเหมือนจะต้องใช้อย่างจำกัดและให้เกิดความคุ้มค่าที่สุด วันนี้เลยขอเสนอทริปเทคนิคการทำการตลาดต้นทุนต่ำแบบเนียนๆ เผื่อบางทีอาจจะเอามาประยุกต์กับลองใช้กับธุรกิจได้บ้าง
1. ในการส่ง “อินวอยซ์” (ใบส่งของหรือใบแจ้งรายการสินค้า) ให้ลูกค้า สามารถแนบใบปลิวที่นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการใหม่ๆ เพื่อแจ้งให้ลูกค้าทราบ เป็นการอัพเดทข้อมูลและทำให้ลูกค้าเห็นว่าบริษัทมีพัฒนาการและความเคลื่อนไหว ไม่ย่ำอยู่กับที่ หากต้องการเพิ่มแรงดึงดูดใจลูกค้าก็อาจแนบคูปองไปด้วยให้ลูกค้านำมาแลกตัวอย่างสินค้าไปทดลองใช้

2. ระหว่างลูกค้ารอสายโทรศัพท์ แทนที่จะเปิดเพลงให้ฟัง เราสามารถหยิบฉวยเวลาสั้นๆ เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการอื่น ๆ ที่มี เช่น บริษัทผู้ผลิตหนังสือพิมพ์ “ฐานเศรษฐกิจ” ก็เคยใช้วิธีทำให้ลูกค้าหลายคนทราบว่ามีบริการ ห้องจัดเลี้ยง ห้องประชุม ห้องสัมมนา ด้วย

3. ในใบเสร็จรับเงินที่ยื่นให้ลูกค้าทุกครั้ง ใช่ว่าจะต้องมีแต่รายการสินค้าและราคา แต่สามารถใช้พื้นที่อันน้อยนิดบนใบเสร็จรับเงินสอดแทรกข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการใหม่รวมถึงโปรโมชั่นพิเศษและข้อมูลอื่นๆ ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ลูกค้าและกับบริษัทในภายหลังด้วย

4. อีเมลที่ติดต่อลูกค้าก็ใช้ประโยชน์ได้ นอกจากระบุชื่อ ตำแหน่ง ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ หมายเลขแฟ็กซ์ และเว็บไซต์ขององค์กรแล้ว สามารถเพิ่มข้อมูลระบุข้อความต่อท้าย เช่น ให้บริการระดับมืออาชีพ และมีกี่สาขาทั่วประเทศ เป็นต้น

5. จัดทำสติกเกอร์หรือป้ายติดรถแบบสวยเก๋ ข้อความเท่ ชนิดที่ใครเห็นก็อยากได้ไปติด เป็นการสื่อสารให้คนรู้จักและคุ้นเคยกับบริษัท ส่วนบริษัทที่มีบริการส่งของ อย่าให้พื้นที่ด้านข้างหรือหลังรถเสียประโยชน์ไป จัดการปิดสติกเกอร์ ใส่ชื่อบริษัท โลโก้ บริการ หมายเลขติดต่อ เว็บไซต์ ลงไป วิ่งไปทั่วเมืองก็เหมือนได้โฆษณาให้คนรู้จักไปด้วย

6. สมนาคุณลูกค้าขาประจำด้วยรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ ลูกค้าที่ซื้อสินค้าหรือใช้บริการสม่ำเสมอ อาจทำแคมเปญสะสมแต้มเพื่อแลกของที่ระลึก ยิ่งถ้าของแจกโดนใจจะกลายเป็นตัวดึงดูดให้ลูกค้าเวียนกลับมาซื้อสินค้าเพื่อให้ได้ของแถม หรืออาจจะให้เป็นส่วนลดแทนก็ได้

7. เมื่อจัดส่งสินค้าให้ลูกค้า ให้สอดแค็ตตาล็อกสินค้าใหม่ หรือใบสั่งซื้อไปด้วย และสิ่งสำคัญที่ต้องไม่ลืมคือการจัดส่งสินค้า ยิ่งเร็วเท่าไร ก็จะเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าเท่านั้น

8. อบรมพนักงานให้มีคุณสมบัติเปี่ยมด้วยความรักที่จะให้บริการ ต้องแม่นยำเกี่ยวกับข้อมูลของบริษัท ไม่ว่าจะติดต่อสอบถามในเรื่องใด พนักงานควรตอบได้ และถ้าลูกค้ามีปัญหาเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ พนักงานก็ควรจะเป็นหน้าด่านสำคัญช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้าอย่างฉับไว ซึ่งจะสร้างความประทับใจให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอีก

9. อิงการกุศลหรือกิจกรรมทางสังคมแบบที่เรียกว่า social marketing เช่นการเข้าไปสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ในด้านต่างๆ อย่างเช่นแบรนด์เครื่องสำอางค์ สนับสนุนกลุ่มต่อต้านการทารุณสัตว์ และเครือข่ายสิทธิมนุษย์ชน หรือ ค่ายโทรศัพท์มือถือแข่งกันช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในสังคม เป็นต้น ซึ่งนอกจากทำให้เป็นที่รู้จักยังเกิดภาพลักษณ์ที่ดีกับองค์กรด้วย

10. ทำแฟ้มข้อมูลลูกค้าเก็บไว้ วาระและโอกาสสำคัญ เช่น วันเกิด หรือเทศกาลต่าง ๆ ทำการ์ดส่งถึงลูกค้าเพื่อแสดงให้เห็นว่าเราใส่ใจลูกค้า
จาก 10 ข้อข้างบนคิดว่าตอนนี้คงได้ไอเดียใหม่ๆกันบ้างแล้วละ ยังไงก็ลองปรับใช้กันดูครับ สุดท้ายนี้ก็ขอให้มีความสุขกับการทำงานครับผม

วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

Social Media กับอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค

ผลการวิจัยล่าสุดชี้ Social Media มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคมากขึ้น 7 ใน 10 คนใช้เป็นแหล่งหาข้อมูลก่อนตัดสินใจ แนะบริษัทหันมาวางแผนกลยุทธ์อย่างจริงจัง แม้จะไม่ได้ดำเนินธุรกิจออนไลน์ เพราะผู้บริโภคนิยมสนทนาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และยี่ห้อสินค้าในสังคมออนไลน์

ทุกวันนี้อาจกล่าวได้ว่า Social Media คือกระแสความนิยมอย่างกว้างขวาง และใน 2551 ที่ผ่านมา Social Media ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า Social Media ไม่ได้จำกัดวงอยู่เฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น แต่นักธุรกิจและมืออาชีพแขนงต่างๆ ได้หันไปใช้ Social Media มากขึ้น ทำให้ Social Media กลายมาเป็นสื่อในสังคมออนไลน์ที่มีอิทธิพลอย่างมาก จากรายงาน The Wave 3 Report ของ Universal Maccan แสดงว่า Social Media เป็นสื่อที่มีอิทธิพลต่อแบรนด์และ ภาพลักษณ์ขององค์กรธุรกิจอย่างมาก เพราะผู้ใช้สื่อ Social Media นิยมโพสต์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ และ แบรนด์ ผ่านบล็อก หรือ ในกลุ่มสังคมออนไลน์ของตน นอกจากนี้การวิจัยยังแสดงให้เห็นว่าผู้ใช้อินเตอร์เน็ต มีทัศนคติในเชิงบวกต่อบริษัทหรือองค์กรที่สร้างบล็อกเป็นของตนเอง


จากบรรดาสื่อต่างที่ใช้ในกลุ่มสังคมออนไลน์นั้นตามรายงานของ Universal McCann พบว่า วิดีโอออนไลน์ได้รับความนิยมเป็อันดับหนึ่ง โดยคาดว่าจะมีผู้ใช้งานวิดีโอออนไลน์ถึง 394 ล้านราย ในขณะที่ 346 ล้านรายอ่านบล็อก 321 ล้านรายอ่านบล็อกส่วนบุคคล 307 ล้านรายเข้าเยี่ยมชมกลุ่มสังคมของเพื่อนฝูง และ 303 ล้านรายส่งต่อหรือแบ่งปันวิดีโอคลิปออนไลน์ พัฒนาการที่รวดเร็วของ Social Media ส่งผลให้การสร้างบล็อก การส่งต่อรูปภาพ หรือ วิดีโอคลิป เป็นเรื่องปกติ และ ทุกวันนี้ นักการเมือง บุคคลที่มีชื่อเสียง แบรนด์ต่างๆ หรือแม้แต่สมาชิกในครอบครัวต่างก็มีกลุ่มหรือสื่อ Social Media ของตนเอง ด้วยเหตุนี้สื่อรุ่นเก่าจึงต้องเร่งปรับตัวและหันมาพึ่งใช้ Social Media เป็นช่องทางเสริมในการกระจายเนื้อหาหรือข่าวสารของตน เมื่อพิจารณาจากรายงาน 20 อันดับ Social Media ยอดฮิตของโลก ที่ ComScore ทำไว้ พบว่า Bloger ยังคงความเป็นผู้นำด้วยยอดผู้เข้าใช้ว่า 222 ล้านรายทั่วโลกในเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา ตามมาด้วย Facebook ที่ไล่มาติดๆ และแรงสุดๆ ด้วยจำนวนผู้ใช้ 200 ล้านราย ส่วนอันดับต่อมาคือ MySpace ด้วยยอดผู้ใช้ 126 ล้านราย Wordpress 114 ล้านราย Windows Live Spaces 87 ล้านราย ส่วนอันดับ 6-10 ได้แก่ Yahoo Geocities (69 ล้านราย) Flickr (64 ล้านราย) hi5 (58 ล้านราย) Orkut (46 ล้านราย) และ Six Apart (46 ล้านราย) ที่น่าแปลกใจก็คือตลาดเอเชีย เป็นตลาดที่มีการเติบโตของ Social Media สูงกว่าทวีปอื่นๆ โดยเฉพาะประเทศจีน นั้นถือเป็นสังคมบล็อกเกอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยยอดผู้ใช้กว่า 42 ล้านราย มากกว่ายุโรปตะวันตกและสหรัฐอเมริการวมกันเสียอีก มร. แบรี่ เฮิร์ด จาก 123 Social Media.com เชื่อว่าปัจจัยที่ผลักดันให้ Social Media เติบโตอย่างรวดเร็วนั้นเป็นเพราะความง่ายในการเข้าถึงสื่ออินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ขณะเดียวกันก็ยังเป็นผลมาจาก ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้าน Social Media และเทคโนโลยีไร้สาย อาทิ โทรศัพท์เคลื่อนที่ PDAs หรือเครื่องเล่นเกมส์แบบพกพาต่างๆ ผลจากการศึกษายังพบด้วยว่า ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะเข้าร่วมในสังคมเครือข่ายโดยเฉลี่ย 3-5 เครือข่าย ดังนั้นนักธุรกิจรายใดที่คิดว่า “ธุรกิจของฉันไม่ได้เน้นด้านออนไลน์” อาจจะต้องคิดใหม่ เพราะ ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะเกี่ยวข้องกับระบบออนไลน์หรือไม่ก็ตาม แต่ธุรกิจของคุณจะเกี่ยวพันกับเครือข่ายในสังคมออนไลน์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะลูกค้าของคุณ คู่ค้าของคุณ แม้แต่เพื่อนฝูง หรือ คนในองค์กรของคุณได้เข้าไปมีบทบาทหรือเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสังคมออนไลน์ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่การสนทนาในบางครั้งอาจจะโยงใยเข้ามาถึงธุรกิจของคุณได้ นั่นหมายถึงว่า บริษัทที่ไม่ได้พิจารณา หรือ ผนวก Social Media ไว้เป็นส่วนหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ หรือ แผนการตลาดรวม กำลังเสียโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าไปอย่างน่าเสียดาย จากการวิจัยร่วมระหว่าง

OTX และ DEI Worldwide พบว่า จากความนิยมที่แพร่หลายของ Social Media นีเอง ทำให้ Social Media กลายมาเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญของผู้บริโภค โดยพบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะข้อหาข้อมูลผลิตภัณฑ์ หรือ สินค้ายี่ห้อต่างๆ จากเว็ปไซต์ Social Media ไปพร้อมๆ กับหาข้อมูลโดยตรงจากเว็ปไซต์ของบริษัทผู้ผลิต โดยผู้บริโภค 7 ใน 10 ราย จะเข้าไปหาข้อมูลในเว็ปไซต์ Social Media ต่างๆ อาทิ เว็ปบอร์ด กลุ่มชุมชนออนไลน์ หรือ บล็อกต่างๆ เพื่อหาข้อมูล นอกจากนี้ เถือบครึ่ง (49%) ของผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อจากข้อมูลที่ได้จาก Social Media เหล่านี้ ความนิยมของ Social Media ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อมาตรวัดความสำเร็จด้านการตลาดและการประชาสัมพันธ์ของภาคธุรกิจอีกด้วย ดังนั้นจึงไม่ใช่เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่องค์กรธุรกิจต่างๆ จะหันมาให้ความสนใจกับ Social Media Marketing มากขึ้น โดยรายงานล่าสุดของ eMarketer ชี้ให้เห็นว่า บริษัทส่วนใหญ่ควรที่จะต้องเข้าไปมีบทบาท และ สื่อสารกับกลุ่มสังคมในชุมชนออนไลน์เป็นประจำ แน่นอนว่าในขณะนี้ บริษัทหลายๆ แห่งได้ตระหนักถึงความสำคัญของ Social Media เพราะเล็งเห็นว่าเป็น Social Media เป็นเครื่องมือการตลาดที่ระหยัดแต่มีประสิทธิภาพในการขายและประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์และบริการของตนสู่ผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่งบประมาณการตลาดค่อนข้างจำกัด อย่างไรก็ดี การทำการตลาดผ่าน Social Media ไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงแม้จะมีบริษัทหลายรายที่ประสบความสำเร็จ แต่ก็มีอีกหลายรายที่ล้มเหลว หรือกลายเป็นผู้ต้องหาของกลุ่มสังคมออนไลน์ไปเลยก็มี ตัวอย่างหนึ่งของบริษัทที่ประสบความสำเร็จ ใน การใช้ Social Media เห็นจะได้แก่ Blendtec ที่ทำคลิปวิดีโอซีรี่ส์ “Will It Blend” หรือ “ปั่นได้ไหม?” เข้าไปไว้ใน YouTube ดำเนินเรื่องโดย มร. ทอม ดิกสัน CEO ของ Blendtec ที่พยายามจะนำทุกอย่างเข้าเครื่องปั่นของเขา รวมถึง iPhone มือถือยอดฮิต เพื่อพิสูจน์ว่า “ปั่นได้ไหม?” ผลที่ตามมาคือ วิดีโอชุดนี้กลายเป็น สื่อการตลาดต้นทุนต่ำ ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในโลกออนไลน์ และส่งผลให้ยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้นไปถึงห้าเท่าตัว


อึกตัวอย่างที่น่าสนใจคือกรณีของ IBM ที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์เข้าจับกระแส Social Media ฟีเว่อร์ได้เป็นอย่างดี กล่าวคือ แทนที่ IBM จะสร้างบล็อกขึ้นมาเพียงหนึ่งบล็อกเหมือนบริษัททัวไป IBM กลับสร้างเครือข่ายของบล็อกขึ้นโดยเปิดโอกาสให้พนักงานของตน ที่ต่างก็เป็นยอดฝีมือในแวดวงคอมพิวเตอร์ สร้างบล็อกของตัวเองขึ้นมา เขียนเล่าถึงประสบการณ์ ถึงงานที่กำลังทำ หรือเรื่องอะไรก็ได้ตามใจชอบ ผลที่ตามมาคือบล็อก IBMer ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง และเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเชื่อมโยง IBM เข้ากับกลุ่มลูกค้า อีกทั้งยังเป็นเครื่องแสดงเจตนารมณ์ที่บริษัทมีต่ออุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ได้เป็นอย่างดี
“ถึงแม้ Social Media จะเป็นสื่อยอดนิยม แต่ต้องไม่ลืมว่า Social Media Marketing ยังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ และ เป็นเรื่องที่นักการตลาดยังต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา

วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

7เคล็ดลับการทำการตลาดผ่าน Viral Marketing

เบื้องหลังความสำเร็จของ HotMail, ICQ หรือแม้แต่สินค้าชั้นนำต่างๆ ส่วนหนึ่งก็มาจากการทำ Viral Marketing ซึ่งการทำการตลาดในแบบนี้ได้สร้างการเติบโตทั้งในเรื่องแบรนด์สินค้า และยอดขายให้เพิ่มขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องออกแรงมาก เพียงแต่ต้องมีไอเดียเจ๋งๆ เท่านั้นเป็นพอ Viral Marketing หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการทำตลาดแบบปากต่อปาก (Word-of-Mouth Marketing) ถือว่าเป็นการทำตลาดที่เจ๋งสุดๆ ในยุคนี้ ลองคิดดู...แทนที่คุณจะต้องจ่ายเงินมหาศาลไปกับการซื้อโฆษณาบนหน้าหนังสือพิมพ์ โฆษณาทางทีวี หรือแม้แต่การทำโฆษณาแบนเนอร์ (Banner Ads) บนเว็บไซต์ แต่ด้วยศักยภาพของ Viral Marketing คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินสักแดงเดียวเพื่อลงโฆษณาบนสื่อเหล่านั้น แต่แค่ปล่อยให้บรรดาแฟนคลับที่ชื่นชมสินค้า หรือติดตามความเคลื่อนไหวของคุณอยู่แล้วทำงานให้กับคุณแทน

การทำตลาดแบบ Viral Marketing จะทำให้แคมเปญการตลาดของคุณมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันทีด้วยตัวของมันเอง แล้วหลังจากนั้นก็จะเริ่มลุกลามไปเรื่อยๆ เหมือนกับไวรัส ด้วยการที่คุณส่งแคมเปญการตลาดที่สุดแสนจะฮา ขำ กลิ้ง หรือไม่ก็น่าสนใจสุดๆ ต่อไปให้กับเพื่อนๆ ในลิสต์รายชื่ออีเมลของคุณเพื่อให้ได้ร่วมดื่มด่ำกับสารพัดอารมณ์ที่คุณได้รับต่อๆ กันไป และเมื่อเกิดการส่งต่อๆ กันไปมากขึ้นก็จะเริ่มมีคนเรียกร้องต้องการรับชมแคมเปญโฆษณานั้นที่คุณสร้างขึ้นมา เพื่อจะได้รู้ว่ามันเจ๋งแค่ไหน เป็นอย่างที่เสียงลือ เสียงเล่าอ้างที่ใครๆ กล่าวขวัญกันถึงหรือเปล่า ซึ่งเมื่อพวกเขาได้รับชม ได้สัมผัสแล้ว ก็จะส่งต่อๆ ไปยังคนอื่นๆ อีก ทำให้แคมเปญการตลาดที่คุณสร้างขึ้นมานั้นถูกกระจายไปในวงกว้างอย่างรวดเร็ว

เห็นไหมล่ะว่า Viral Marketing มีพลังมากแค่ไหน พลังของมันเรียกได้ว่าไร้ขอบเขตเกินพิกัด ซึ่งถ้าคุณใช้การทำโฆษณาด้วยช่องทางปกติอย่างที่เคยๆ ทำมาก็อาจจะได้รับผลตอบรับ หรือมีคนคลิกเข้ามาดูโฆษณานั้นแค่ 500-1,000 ครั้งเท่านั้น ซึ่งผลตอบรับระดับนี้ก็ถือว่าเยี่ยมมากแล้ว แต่ถ้าทำการตลาดด้วยวิธีใหม่อย่าง Viral Marketing คุณจะพบว่าโฆษณาสุดเจ๋งที่คุณคิดขึ้นมาจะมีการส่งต่อ และมีผู้เปิดดูโฆษณานั้นมากกว่านี้หลายเท่าตัว ในเวลาอันรวดเร็วซะด้วย
แต่จะทำอย่างไร?

นี่เป็นเคล็ดลับที่ใช้กันส่วนใหญ่ในการทำ Viral Marketing
1.ทำให้คนดูรู้สึกอะไรบางอย่าง
เคล็ดลับที่สำคัญที่สุดก็คือ การสร้างให้โฆษณาชิ้นนั้นมีการถ่ายทอดความรู้สึกออกมาอย่างชัดเจน รุนแรง การนำเสนอจะต้องให้ผู้ชมสามารถแสดงความคิดเห็นออกมาได้เป็นคำพูด สามารถตัดสินสิ่งที่ถ่ายทอดออกมาได้ว่าต้องการสื่ออารมณ์แบบไหนออกมา
โฆษณาของคุณอาจจะทำให้คนรู้สึกรักหรือเกลียด มีความสุข หรือกำลังโกรธอย่างไร้เหตุผล ไร้สาระ งี่เง่า หรือว่าดูฉลาดหลักแหลมอัจฉริยะเหลือหลาย น่าสงสาร น่าเวทนา หรือให้ความรู้สึกน่าเกลียด เห็นแก่ตัว แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คุณต้องการให้คนดูได้รู้สึกไปกับโฆษณาของคุณก็คือความรู้สึกตื่นเต้นที่ถูกสูบฉีดขึ้นมาในกระแสเลือด เมื่อได้รับชมโฆษณา
อย่าลืมว่าสิ่งที่คุณทำขึ้นมา โฆษณาที่พยายามคิดค้นขึ้นมาไม่ได้ทำขึ้นเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ แต่จงพยายามทำให้เป็นกลางที่สุด สามารถเข้าถึงได้หลายกลุ่มเป้าหมาย หรือทำให้มีคนที่ไม่เห็นด้วย ไม่ชอบกับสิ่งที่คุณนำเสนอน้อยที่สุด เพราะการทำการตลาดแบบ Viral Marketing นั้น เป็นการทำการตลาดที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ของผู้ชม 100%

2.ทำบางอย่างที่เหนือความคาดหมาย
ถ้าคุณต้องการให้คนสนใจแคมเปญการตลาดของคุณ ก็จะต้องทำอะไรบางสิ่งที่ให้ดูแตกต่าง บางสิ่งที่เหนือกว่าความคาดหมาย ลืมไปได้เลยว่าคุณกำลังจะโปรโมตสินค้าให้ดูยอดเยี่ยมแค่ไหน เพราะทุกคนคิดอย่างนี้อยู่แล้ว และจงลืมไปด้วยว่าคุณจะทำให้มันดูเจ๋งสุดๆ ไปได้เลย เพราะว่าทุกๆ คนก็คิดทำสิ่งเหล่านี้อยู่เหมือนกัน แต่คุณควรจะคิดในสิ่งที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน ไม่ใช่สิ่งที่ธรรมดาๆ ที่พบเห็นกันทั่วไป ไม่ใช่แนวทางเดิมๆ ที่ใครๆ ก็คิดกัน ลองกลับมุมมองแล้วคิดให้แตกต่างไปจากสิ่งเดิมๆ ที่เคยเห็น ที่เคยเป็น ถึงแม้ว่าผู้ชายจะไม่สามารถคลอดลูกได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย แต่ในขณะเดียวกันไอเดียพวกนี้ก็ทรงประสิทธิภาพมากๆ เมื่อนำมาใช้กับการทำโฆษณาแบบ Viral Advertisements และเหนือสิ่งอื่นใด ไม่เคยมีใครหลับหูหลับตาเลียนแบบคนอื่นอย่างไม่ลืมหูลืมตากันหรอก เพราะมันดูไม่มีกึ๋นเอาซะเลย

3.อย่าพยายามทำให้ดูเป็นการโฆษณา
ความผิดพลาดอย่างมหันต์อย่างที่ไม่น่าให้อภัยในการทำแคมเปญโฆษณาแบบ Viral Marketing ก็คือ คุณคิดว่าจะทำให้มันเป็นแค่โฆษณาที่มีคนแชร์กันดูและส่งต่อๆ กันไป ขอบอกว่าคุณคิดผิดอย่างถนัด เพราะมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น แม้ว่าการทำโฆษณาในแบบดั้งเดิมจะเป็นแค่การโปรโมตสินค้าอะไรสักอย่างที่คุณต้องการจะโฆษณา โชว์ให้เห็นว่ามันดีอย่างไร แล้วก็นำสินค้าตัวนั้นไปวางหน้าร้านหรือไม่ก็กลางเวที ดูๆ ไปแล้วก็แสนจะเชย เป็นรูปแบบเดิมๆ ที่ใช้กันมานานจนคร่ำครึ ซึ่งส่วนใหญ่โฆษณาแบบดั้งเดิมพวกนี้ก็จะใช้ซูเปอร์สตาร์ ดาราหนัง นางแบบมาเป็นคนแสดงโฆษณาทั้งนั้น แต่พระเจ้าช่วย คุณเดาอะไรได้อย่างหนึ่งไหม? ไม่มีใครสนใจสินค้าของคุณหรอก ใครๆ เขาก็จ้องดารากันทั้งนั้นแหละ Viral Marketing คือการนำเสนอเรื่องราวที่ดีๆ ดูอย่าง BMW ตอนที่ทำหนังโฆษณาของ BMW ออกมา หัวใจหลักของหนังโฆษณาไม่ได้เกี่ยวกับรถเลย แต่เป็นเรื่องราว ซึ่งก็เป็นโฆษณาที่ดูเยี่ยมยอดทีเดียว หรืออย่าง Sony ที่ทำโฆษณาทีวี Bravia ออกมา แม้จะเป็นสินค้าที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน แต่ก็ไม่มีใครที่จะจำมันไม่ได้ เพราะฉะนั้นเทรนด์ใหม่ของการทำโฆษณาไม่จำเป็นต้องใช้ตัวสินค้าเป็นเครื่องมือในการนำเสนอเสมอไป เพราะฉะนั้นจงลืมอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นตัวคุณ สินค้าของคุณ หรือแม้แต่บริษัทของคุณ แต่จงมุ่งเป้าให้ความสนใจไปที่การสร้างสรรค์เรื่องราวที่ดีและน่าสนใจ แน่นอนว่าคุณสามารถนำสินค้าเข้าไปผสมผสานร่วมกันได้ แต่ต้องไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่จำเป็นต้องเป็นหัวใจหลักของการคิดเรื่องราวเพื่อทำโฆษณา

4. มีเรื่องราวที่ต่อเนื่อง
ถ้าคนที่เพิ่งจะเคยเห็นแคมเปญโฆษณาของคุณ พวกเขาก็จะคิดว่ามันน่าสนใจดี เหนือความคาดหมาย และแน่นอนว่าอารมณ์ของคนดูจะฉีดพุ่งขึ้นไปอีกระดับ เพราะมันมีการลุ้นให้ติดตามตอนต่อไป ซึ่งคุณเองก็ควรจะเอาใจใส่ที่จะทำโฆษณาตอนต่อไปออกมาเรื่อยๆ เพื่อให้มีการติดตามอย่างต่อเนื่อง แล้วตอนนี้คุณทำอะไรอยู่? ถ้าคุณชอบที่จะทำเหมือนกับบริษัททั่วๆ ไป คุณก็คงจะทำอะไรที่ดูธรรมดา ไม่มีอะไรที่น่าสนใจ น่าดึงดูด ซึ่งนั่นเป็นความผิดพลาดใหญ่หลวงทีเดียว เมื่อคุณทำให้คนดูสนใจ อยากติดตามหนังที่คุณสร้างขึ้นมาแล้วก็ต้องเอาใจใส่ดูแลทำออกมาให้ดี ไม่ใช่แค่ทำๆ ออกมาให้มันจบๆ ไป แต่หนังที่สร้างมันต้องมีเรื่องราวที่ดี น่าติดตามด้วย ซึ่งทางหนึ่งที่คุณจะทำได้ก็คือ การทำให้มากกว่าหนังปกติ มีภาคต่อเนื่อง ซึ่งก็ทำได้หลายแบบ เช่น
- ทำให้เป็นหนังที่ดูพิเศษกว่าปกติ มีคอนเซ็ปต์ที่คิดขึ้นมาเป็นรายแรก เหมือนกับหนังฟิล์มของ BMW และ Nissan ที่ทำขึ้นมา
- นำเสนอในแนวของเบื้องหลังการถ่ายทำ
- ให้คนดูจับผิด หรือหาจุดที่คนทำหนังปล่อยไก่ออกมา ให้ดูคล้ายๆ กับเป็นภาพหลุด
- สร้าง Blog เกี่ยวกับขั้นตอนการถ่ายทำ เหมือนกับที่ Nissan ทำมาแล้ว
- เนื้อหามีความพิเศษ ดึงดูดใจ
- หรือจะนำเสนอทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วข้างต้นก็ไม่ว่ากัน
ที่สำคัญ อย่าสร้างหนังโฆษณาที่ปล่อยให้คนดูยืนดูเฉยๆ โดยที่ไม่ได้อะไรกลับไป แล้วก็อย่าลืมนับถอยหลังวันที่จะเผยแพร่โฆษณาชิ้นนั้น เช่น ภาพยนตร์ภาคต่อไปจะฉายในทุกๆ 2 สัปดาห์ เป็นต้น

5. เปิดให้แชร์ ดาวน์โหลด และเอาไปโชว์บนเว็บไซต์อื่นๆ ได้
การแชร์ คือหัวใจของการทำ Viral Marketing เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณพยายามรังสรรค์ขึ้นมานั้นจะต้องทำให้แคมเปญโฆษณาชิ้นนั้นส่งต่อๆ กันไป เพื่อแบ่งปันกับผู้อื่นง่ายที่สุด นั่นหมายความว่า คุณต้องอนุญาตให้ผู้ชมทำสิ่งเหล่านี้ได้ นั่นคือ
- ดาวน์โหลดคอนเท็นต์ในรูปแบบไฟล์ทั่วๆ ไปที่ใช้กัน เช่น ไฟล์รูปภาพในรูปแบบของ JPG, ไฟล์วิดีโอในรูปแบบของ MPG เป็นต้น
- ต้องทำให้คนดูสามารถนำคอนเท็นต์ที่คุณสร้างขึ้นมาไปโพสต์บนเว็บไซต์ของเขาได้ ซึ่งขนาดของไฟล์ก็มีความสำคัญ เพราะถ้าใหญ่เกินไปก็ทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วต่ำไม่สามารถเปิดดูผ่านออนไลน์ได้
- ยอมให้ส่งต่อไปยังเพื่อนหรือผู้อื่น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะส่งเป็นลิงก์ไปให้ หรือจะให้ส่งคอนเท็นต์นั้นไปยังผู้อื่นโดยตรงก็ได้
- นำไปโพสต์ไว้หลายๆ เว็บไซต์ เช่น Digg.com, YouTube.com เป็นต้น
- อนุญาตให้ผู้ชม Add เว็บไซต์นั้นเข้าไปใน Bookmark ของเขาเอง
Note : คุณสามารถทำให้ง่ายขึ้นได้ ด้วยการสร้างไอคอน “share me”, “dig this” หรืออะไรก็แล้วแต่ให้ผู้ชมรู้ว่าเป็นการส่งไปต่อไปยังคนอื่นขึ้นมา

6.สร้างความสัมพันธ์ด้วยความคิดเห็น
ส่วนประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของการทำ Viral Marketing คือการสร้างความสัมพันธ์กับผู้ชม จงจำไว้ว่าเมื่อคุณได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ชม พวกเขาก็จะเริ่มตื่นเต้น และแน่นอนว่าต้องมีการพูดคุยกัน วิจารณ์สิ่งที่ได้ชมในเรื่องเดียวกัน ซึ่งความคิดเห็นต่างๆ เป็นสิ่งที่มีพลังอย่างมาก ยิ่งมีคนพูดถึงมากเท่าไร ย่อมหมายถึงมีคนให้ความสนใจมากเท่านั้นจงทำให้แคมเปญโฆษณาแบบ Viral Marketing ของคุณเข้าไปอยู่ในใจของคนดู ด้วยการสร้างอารมณ์ของเนื้อเรื่องให้มีความชัดเจน มีความน่าจดจำ ตราตรึงติดอยู่ในสมอง ในจิตใจของคนดู นั่นหมายความว่าคุณต้องทำให้คนดูชอบโฆษณานั้นจริงๆ จังๆ หรือไม่ก็ทำให้คนรู้สึกแย่มากๆ จะได้พูดถึงกันไปปากต่อปาก กระจายข่าวกันอย่างรวดเร็ว ซึ่งคุณจะต้องทำใจยอมรับความคิดเห็นทั้งดีและไม่ดีที่จะเกิดขึ้น และจะต้องต้อนรับทุกความคิดเห็นที่เข้ามา แต่ในเวลาเดียวกัน คุณก็ต้องศึกษา คาดการณ์ล่วงหน้า และตั้งรับกับสงครามการต่อต้านจากผู้ชม รวมทั้งคู่แข่งของคุณด้วยจริงๆ แล้วก็ไม่ได้เป็นความผิดบาปอะไรนักหนาถ้าคุณจะลบความคิดเห็นของคนที่ตั้งใจเข้ามาโจมตีคุณทิ้งไปบ้าง แต่ในขณะเดียวกันคุณจะผิดและบาปอย่างมากถ้าคุณลบความคิดเห็นของคนที่แค่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณทำ หรือมีความคิดในทางด้านลบกับโฆษณาของคุณที่สร้างขึ้นมา การสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นนั้นหมายถึงการส่งความคิดเห็นกลับมา ดังนั้นอย่าใส่ความคิดเห็นลงไปถ้าคุณไม่ต้องการที่จะให้ใครมาสร้างสัมพันธ์กับตัวคุณ

7.อย่าจำกัดการเข้าชมเด็ดขาด
Viral Marketing เป็นการสร้างแคมเปญการตลาดที่ทำให้มันมีชีวิตด้วยตัวเอง เหมือนกับการทำงานของไวรัส ซึ่งจริงๆ แล้วคำว่า Viral เป็นคำ Adjective มีความหมายว่า เกี่ยวกับ หรือเกิดจากเชื้อไวรัส (Virus) ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่รูปแบบการทำงานในแบบ Viral Marketing จะเหมือนกับไวรัสที่ต้องการอิสระ เพื่อส่งต่อไปยังผู้อื่นได้ง่ายๆ เพียงแต่ไม่มีอันตราย หรือน่ารังเกียจเหมือนกับไวรัสเท่านั้นเอง
ดังนั้นเพื่อให้การเข้าชมเป็นไปอย่างไร้ขอบเขต ไม่ถูกจำกัด จึงต้อง
- อย่าให้ผู้ชมลงทะเบียน
- ไม่ต้องสมัครสมาชิก
- ไม่ต้องดาวน์โหลดด้วยซอฟต์แวร์พิเศษ
- ไม่มีการล็อกรหัส
- ไม่ต้องทำอะไรก็ตามเพื่อให้ได้ลิงก์โฆษณาที่ถูกต้องมา
การทำโฆษณาแบบ Viral Marketing นั้น ไม่ต้องการให้งานโฆษณาดูลึกลับ หรือถูกเก็บเป็นความลับ แต่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นได้รับชมกันอย่างถ้วนหน้า

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

Google เปิด free music download ในจีน





จะมีใครกล้าเหมือน Google บ้าง ที่กล้าเปิดดาวน์โหลดเพลงแบบถูกลิขสิทธิ์และไม่คิดค่าใช้จ่าย ‘free free’ ทุกวันนี้ทั้งเจ้าของค่ายเพลง และเว็บที่ให้บริการโหลดเพลงฟรีแบบไม่ถูกลิขสิทธิ์ ยังแทบเอาตัวไม่รอด ไม่ว่าจะเป็น Imeem, Esnips และแม้กระทั่งเจ้าของค่ายเพลงอย่าง Warner Music, Universal Music และค่ายอื่นๆ ต่างคนต่างยังคงฟ้องกันไปฟ้องกันมาไม่จบสิ้นกับการละเมิดสิทธิ์เพลงออนไลน์ และยังปวดหัวเรื่องหา Business/Revenue model บนโลกออนไลน์กันอีก

แต่อยู่ดีๆ Google กลับเปิดให้ดาวน์โหลดแบบฟรีแถมเพลงยังมีลิขสิทธิ์อีกด้วย แต่น่าผิดหวังเล็กน้อย เมื่อทราบข่าวว่าแท้ที่จริงแล้ว Google ทำเช่นนี้เพียงต้องการขึ้นแท่นเบียดเว็บไซต์อันดับหนึ่งอย่าง Baidu.com เท่านั้นเอง เนื่องจากที่ผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ Baidu.com เป็นเว็บท้องถิ่นที่อยู่อันดับหนึ่งของจีนมาโดยตลอด ทำให้ Google ต้องหากลยุทธ์เติมเต็มบริการที่ขาดหาย ซึ่งก็คือ บริการดาวน์โหลดเพลง

แนวคิดของ Google
Lee Kai-Fu กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของแนวคิดการเปิดให้บริการดาวน์โหลดเพลงฟรีว่า สาเหตุที่ทำให้ Google ไม่สามารถครองส่วนแบ่งหลักในตลาดค้นหาข้อมูลออนไลน์ของประเทศจีน คือการไม่มีบริการดาวน์โหลดเพลง สิ่งที่กูเกิลทำจึงเป็นการเพิ่มส่วนที่หายไปลงในกลยุทธ์ของกูเกิล เพื่อหาทางล้มแชมป์แดนมังกรอย่าง Baidu.com

“เราเปิดให้บริการดาวน์โหลเพลงถูกกฎหมาย คุณภาพสูง และฟรีแล้วในขณะนี้ ที่ผ่านมาเรายังขาดบริการอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือเราไม่มีเพลง” ลีให้สัมภาษณ์อย่างตรงไปตรงมา
บริการดาวน์โหลดเพลงฟรีของ Google มีเพลงที่ถูกลิขสิทธิ์กว่า 350,000 เพลงทั้งจากศิลปินจีนและต่างชาติ อย่าง Sony Music, EMI, Warner Music และ Universal Music ก็รวมอยู่ในบริการนี้ด้วย


ความเห็นจากเจ้าของค่ายเพลง
“นี่คือความพยายามอย่างจริงจังครั้งแรกในการเริ่มต้นเปิดตลาดออนไลน์ในประเทศจีน ผมไม่สามารถประมาณว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้มีความสำคัญเพียงไร” ลาชี รูเธอร์ฟอร์ด (Lachie Rutherford) ประธานวอร์เนอร์มิวสิกภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และประธานกลุ่ม International Federation of the Phonographic Industry หรือ IFPI ภูมิภาคเอเชียกล่าว โดย IFPI เคยออกมาให้ข้อมูลเมื่อปีที่แล้วว่า ไฟล์เพลงที่ถูกเผยแพร่ในประเทศจีนกว่า 99 เปอร์เซ็นต์ล้วนเป็นไฟล์เพลงผิดกฏหมาย ขณะที่ตลาดเพลงถูกกฏหมายของจีนมีมูลค่าเพียง 76 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายเพลงทั่วโลกด้วยซ้ำ
นอกจากเชื่อว่าของดีและฟรีจะสามารถลดการละเมิดลิขสิทธิ์เพลงออนไลน์ได้ ความพิเศษของบริการเพลงออนไลน์ของ Google ยังอยู่ที่ผู้ใช้สามารถสืบค้นประเภทแนวเพลงได้นอกเหนือจากการสืบค้นตามชื่อเพลงและชื่อศิลปินได้ด้วย


คำถามต่อไป คือ แล้ว Google ไม่คิดจะมีบริการแบบนี้ในประเทศไทยบ้างหรือ (i am looking forward to he he)
ขอบคุณบทความดีๆจาก marketingoops!